เดือนกันยายน 2025 ผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่อย่าง Microsoft Azure, Amazon Web Services (AWS) และ Google Cloud ได้ประกาศฟีเจอร์ใหม่ต่อเนื่องกัน ในขณะที่การนำ AI เชิงสร้างสรรค์มาใช้ในองค์กรเข้าสู่ขั้นจริงจัง แต่ละบริษัทจึงมุ่งเน้นการเสริมความปลอดภัยและการจัดระบบธรรมาภิบาล ฟีเจอร์ใหม่เหล่านี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาการใช้งาน AI ขององค์กร แสดงให้เห็นว่าการแข่งขันในตลาดคลาวด์เข้าสู่ขั้นใหม่
การเปลี่ยนผ่านจากขั้นทดลองสู่การใช้งานจริง
หลังจากการเปิดตัว ChatGPT การนำ AI มาใช้ในองค์กรขยายตัวอย่างรวดเร็ว แต่หลายองค์กรยังคงหยุดอยู่ในขั้นการทดลอง จากการสำรวจพบว่า ประมาณ 90% ของกรณีการใช้งานแนวตั้งยังคงหยุดอยู่ในขั้นทดลอง ไม่สามารถเปลี่ยนไปสู่การใช้งานจริงได้
ปัญหาที่เป็นสาเหตุนี้ ได้แก่ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ความซับซ้อนในการจัดการข้อมูล และความบกพร่องของระบบธรรมาภิบาล โดยเฉพาะปัญหา “Shadow AI” ที่พนักงานใช้ AI โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งถือเป็นปัญหาร้ายแรง องค์กรต่าง ๆ จึงต้องหาวิธีในการจัดการความเสี่ยงเหล่านี้ พร้อมกับการใช้ประโยชน์จาก AI
ผู้ให้บริการคลาวด์แต่ละราย กำลังพัฒนากลยุทธ์เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ เพื่อให้องค์กรสามารถนำ AI มาใช้งานจริงได้ การแข่งขันจึงเปลี่ยนจากการให้เทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว ไปสู่การให้แพลตฟอร์มครบวงจรที่ช่วยให้องค์กรใช้ AI ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
AWS: เสริมแกนฐาน AI แบบ Agent
AWS มุ่งเน้นการเสริมฟีเจอร์เพื่อทำให้การพัฒนา AI แบบ Agent เป็นอุตสาหกรรม ฟีเจอร์ “Knowledge Base Document Controls” ของ Bedrock ที่เพิ่งประกาศ จะช่วยแก้ไขปัญหา “Black Box” ในระบบ RAG นักพัฒนาสามารถตรวจสอบสถานะการนำเข้าเอกสาร timestamp การซิงค์ และ metadata ได้โดยละเอียด ทำให้สามารถพิสูจน์ได้อย่างแม่นยำว่า AI ใช้ข้อมูลใดบ้าง
การประกาศบริการ AgentCore ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน นี่คือ runtime สำหรับ agent ที่ปลอดภัย สนับสนุนการทำงานระยะยาวและการแยก session โดยสามารถประมวลผลได้นานสูงสุด 8 ชั่วโมง นอกจากนี้ Strands Agents SDK ที่ช่วยให้การสร้างระบบ multi-agent ง่ายขึ้น มียอดดาวน์โหลดเกิน 1 ล้านแล้ว แสดงให้เห็นการรับไปใช้ในชุมชนนักพัฒนา
การนวัตกรรมในชั้นข้อมูลที่น่าสนใจคือการเปิดตัว Amazon S3 Vectors ฟีเจอร์นี้ช่วยลดต้นทุนการจัดเก็บและ query vector ได้สูงสุด 90% คาดว่าจะช่วยลดอุปสรรคในการสร้างแอปพลิเคชัน RAG ได้อย่างมาก
Microsoft Azure: เน้นความปลอดภัยระดับองค์กร
Microsoft ประกาศการเสริมฟีเจอร์ที่มุ่งเน้นความต้องการด้านความปลอดภัยขององค์กร สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือฟีเจอร์ “Liveness Detection with Network Isolation” ฟีเจอร์นี้ช่วยให้สามารถ route คำขอการตรวจสอบยืนยันตัวตนที่มีความลับสูงผ่าน proxy ที่จัดการโดยลูกค้าได้ และสามารถแยกบริการ Azure AI ออกจากอินเทอร์เน็ตสาธารณะได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การเริ่มให้บริการ Reinforced Fine-tuning (RFT) สำหรับโมเดล o4-mini อย่างเป็นทางการก็เป็นเรื่องที่สำคัญ องค์กรสามารถใช้ dataset ของตนเองในการ customize โมเดลได้ และสร้าง AI ที่เฉพาะเจาะจงกับกระบวนการทางธุรกิจของตนเอง นี่คือฟีเจอร์สำคัญสำหรับการหลุดพ้นจาก AI ทั่วไป และสร้างความสามารถ AI ที่มีความได้เปรียบในการแข่งขัน
นอกจากนี้ยังได้เสริม managed deployment ของ open weight models องค์กรสามารถใช้การควบคุมธรรมาภิบาล การติดตาม และความปลอดภัยแบบรวมศูนย์กับทั้งโมเดล proprietary และ open source ทำให้สามารถสร้างสมดุลระหว่างความยืดหยุ่นและการควบคุมได้
Google Cloud: มุ่งเน้นประสิทธิภาพการพัฒนาและการใช้งาน
Google ประกาศการเสริม Vertex AI Agent Engine เวอร์ชัน preview ซึ่งรวมฟีเจอร์การรันโค้ดใน sandbox environment ที่แยกออกมา การสนับสนุน agent-to-agent protocol และ bidirectional streaming ฟีเจอร์เหล่านี้ทำให้สามารถพัฒนา agent ระดับสูงที่สามารถทำงานหลายขั้นตอนที่ซับซ้อนได้
การปรับปรุงความสะดวกสำหรับนักพัฒนาก็เป็นประเด็นสำคัญ การสนับสนุน embedding ผ่าน Batch API และ OpenAI compatible library ทำให้สามารถประมวลผล document set ขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยลดต้นทุนการย้ายมาของทีมที่ใช้เครื่องมือ OpenAI อยู่แล้ว
Model Garden ได้เพิ่มโมเดลใหม่ เสริมทางเลือกและความยืดหยุ่น ฟีเจอร์ “Automatic Evaluation for Summarization” ของ Agent Assist ให้ metrics ในตัวอย่าง accuracy, completeness, adherence ทำให้สามารถติดตามและรักษาคุณภาพผลลัพธ์ AI ในสภาพแวดล้อมการใช้งานจริงได้อย่างต่อเนื่อง
การเปลี่ยนแปลงแกนการแข่งขันและแนวโน้มอนาคต
การประกาศเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าแกนการแข่งขันในตลาดคลาวด์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรากฐาน ในอดีตการประกาศ “โมเดลที่ใหญ่ขึ้น แข็งแกร่งขึ้น” เป็นศูนย์กลางการแข่งขัน แต่ปัจจุบันความสามารถของแพลตฟอร์มที่ช่วยให้องค์กรใช้ AI ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในสภาพแวดล้อมการใช้งานจริงกลายเป็นสิ่งสำคัญ
แต่ละบริษัทมีจุดเน้นเชิงกลยุทธ์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน AWS มุ่งสร้างตลาดใหม่ของ AI แบบ Agent Microsoft ใช้ความได้เปรียบในระบบ enterprise IT เดิมเป็นแกนการรวมและความน่าเชื่อถือ Google ใช้จุดแข็งทางเทคนิคในการให้ performance และความยืดหยุ่นแก่ชุมชนนักพัฒนา
มีการคาดการณ์ว่าจนถึงปี 2026 จะมีองค์กรกว่า 80% นำ AI API หรือแอปพลิเคชันที่เปิดใช้ AI มาใช้งาน AI เชิงสร้างสรรค์จึงได้รับการจัดตำแหน่งไม่ใช่เป็นเพียงเครื่องมือเพิ่มผลิตภาพ แต่เป็นสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ที่สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน กลายเป็นที่ชัดเจนว่าคุณค่าของ AI เปลี่ยนจากตัวโมเดล ไปสู่ความสามารถของแพลตฟอร์มในการนำไปใช้อย่างมีความรับผิดชอบในระดับใหญ่
แนวทางเชิงกลยุทธ์สำหรับองค์กร
สำหรับองค์กรไทย แนวโน้มเหล่านี้เป็นการบีบบังคับให้ตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม การพิจารณาใช้ multi-cloud หรือ hybrid cloud ควรมีความระมัดระวัง การใช้งานเชิงลึกใน ecosystem เดียวของ provider ที่เชื่อถือได้จะมีประสิทธิภาพมากกว่าการกระจายไปหลายแพลตฟอร์ม
การจัดตำแหน่ง AI governance ไม่ใช่เป็นข้อจำกัดที่เพิ่มเข้ามาทีหลัง แต่เป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ การตั้งคณะกรรมการ AI governance ข้ามสายงาน และการลงทุนในเครื่องมือ governance ก่อนการขยายผลเต็มรูปแบบ จะช่วยลดความเสี่ยงและปฏิบัติตามกฎระเบียบ พร้อมสร้างรากฐานความสำเร็จที่ยั่งยืน
ในด้านกลยุทธ์บุคลากร การเปลี่ยนมโนทัศน์จาก “การทดแทนด้วยระบบอัตโนมัติ” ไปสู่ “การขยายความสามารถและการร่วมมือ” เป็นเรื่องเร่งด่วน การลงทุนในการ reskill ขนาดใหญ่สำหรับทักษะอนาคตอย่าง AI literacy, prompt engineering, การคิดเชิงวิพากษ์ จะกลายเป็นแหล่งที่มาของความได้เปรียบในการแข่งขันที่สำคัญที่สุดในยุค AI
บทความอ้างอิง
- Cloud AI Previews Offer a Glimpse of Future Enterprise Demands – Virtualization Review
- Use liveness detection with network isolation – Face – Azure AI services | Microsoft Learn
- AWS announces new innovations for building AI agents at AWS Summit New York 2025
- Vertex AI release notes | Generative AI on Vertex AI | Google Cloud
- McKinsey technology trends outlook 2025