กรมสรรพากรเข้มงวดการเก็บภาษี ~เฝ้าติดตามอินฟลูฯ และผู้ขายออนไลน์~

กรมสรรพากรเข้มงวดการเก็บภาษี ~เฝ้าติดตามอินฟลูฯ และผู้ขายออนไลน์~ Politic Economy
Politic Economy

กรมสรรพากรไทยประกาศนโยบายเพิ่มความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายภาษีกับอินฟลูเอนเซอร์บนโซเชียลมีเดียและผู้ขายสินค้าออนไลน์เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม นี่ไม่ใช่การออกกฎหมายภาษีใหม่ แต่เป็นการปรับระบบบังคับใช้กฎหมายให้สอดคล้องกับสภาพจริงของเศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจครีเอเตอร์ที่มีมูลค่าสูงถึง 450 ล้านบาท และตลาดอีคอมเมิร์ซที่มีมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านบาทเป็นแหล่งรายได้ที่จำเป็นเร่งด่วนสำหรับรัฐบาลไทยที่เผชิญกับสถานการณ์การคลังที่ตึงเครียด

สาเหตุโดยตรงของการเพิ่มความเข้มงวด

นักร้องชื่อดังได้ทำยอดขายผ่านไลฟ์คอมเมิร์ซหลายร้อยล้านบาท สร้างความสนใจจากสังคมอย่างมาก เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าอินฟลูเอนเซอร์มาร์เก็ตติ้งและไลฟ์คอมเมิร์ซเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล กรมสรรพากรแสดงความคิดเห็นว่า “นักร้องหรือนักแสดงที่ขายสินค้าผ่านไลฟ์สด ทำยอดขายหลายสิบล้านบาทภายใน 1 ชั่วโมง มีหน้าที่ต้องยื่นแบบและชำระภาษี” ซึ่งเป็นคำกล่าวที่มุ่งเป้าไปที่ปรากฏการณ์นี้

ขณะเดียวกัน รัฐบาลไทยเผชิญกับปัญหารายได้ขาดดุลอย่างรุนแรงในปีงบประมาณ 2025 หน่วยงานเก็บภาษีหลักทั้ง 3 แห่งไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ กระทรวงการคลังจึงได้รับแรงกดดันอย่างมากในการหาแหล่งรายได้ใหม่ การแก้ไขช่องว่างระหว่างเศรษฐกิจดิจิทัลที่เติบโตแต่ยังเก็บภาษีไม่เพียงพอกับเศรษฐกิจแบบดั้งเดิมที่ชะลอตัวจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้

รายได้ที่อยู่ในข่ายต้องเสียภาษี

กรมสรรพากรได้ระบุขอบเขตรายได้ที่ต้องเสียภาษีครอบคลุมกิจกรรมในเศรษฐกิจดิจิทัลทุกรูปแบบ ได้แก่ การขายสินค้าตรงผ่านออนไลน์ การรับจ้างทำไลฟ์สด (รายวัน รายชั่วโมง หรือค่าคอมมิชชั่น) กิจกรรมอินฟลูเอนเซอร์เช่นรีวิวสินค้า สัญญาสปอนเซอร์ ฯลฯ สิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือ สินค้าหรือบริการที่ได้รับฟรีเพื่อแลกกับการรีวิว (ของขวัญ การเดินทาง ฯลฯ) จะต้องนำมาคำนวณเป็นมูลค่าตลาดและยื่นเป็นรายได้ด้วย

สำหรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จะเก็บแบบก้าวหน้าตามรายได้สุทธิที่ต้องเสียภาษี ตั้งแต่ 0% (รายได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาท) ถึง 35% (รายได้สุทธิเกิน 5,000,000 บาท) ผู้เสียภาษีสามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายจากหลักฐานเอกสารจริง หรือหักค่าใช้จ่ายโดยประมาณ 60% ของรายได้ตามที่เห็นว่าเป็นประโยชน์มากกว่า

สำหรับภาษีมูลค่าเพิ่ม บุคคลหรือนิติบุคคลที่มีรายได้ต่อปีเกิน 1,800,000 บาท ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน 30 วันนับจากวันที่เกินเกณฑ์ ผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มต้องเก็บภาษี 7% จากลูกค้า และยื่นแบบภาษีภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป

ระบบการบังคับใช้ใหม่ด้วยเทคโนโลยี

เหตุผลหลักที่กรมสรรพากรมั่นใจในการเพิ่มความเข้มงวดครั้งนี้คือการได้รับความสามารถในการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเทคโนโลยี แกนหลักคือความร่วมมืออย่างเป็นทางการกับแพลตฟอร์มออนไลน์สำคัญเช่น Shopee, Lazada, Grab, Line Man ระบบนี้ช่วยให้กรมสรรพากรได้รับข้อมูลรายได้ของผู้ขายและครีเอเตอร์บนแพลตฟอร์ม โดยไม่ต้องรอการยื่นแบบจากผู้เสียภาษี สามารถนำข้อมูลการทำธุรกรรมมาตรวจสอบกับรายการยื่นแบบได้โดยตรง

ความร่วมมือด้านข้อมูลนี้ได้รับการจัดทำเป็นกฎหมายโดยกฎระเบียบใหม่ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2024 กฎนี้กำหนดให้แพลตฟอร์มดิจิทัลในประเทศทุกแห่งที่มีรายได้ต่อปีเกิน 10,000 ล้านบาท ต้องเปิดบัญชีพิเศษทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อรายงานข้อมูลรายได้ของผู้ขายออนไลน์ต่อกรมสรรพากร

นอกจากนี้ กรมสรรพากรยังพัฒนาและนำระบบปัญญาประดิษฐ์มาใช้อย่างแข็งขัน ระบบเหล่านี้ใช้ในการติดตามรูปแบบการทำธุรกรรมออนไลน์ ตรวจสอบยอดขาย และประเมินความถูกต้องของการยื่นแบบภาษี สามารถวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่โดยไม่ต้องใช้แรงงานคน และระบุรายบุคคลที่มีข้อสงสัยเรื่องการยื่นแบบไม่ครบหรือหลีกเลี่ยงภาษีได้โดยอัตโนมัติ ด้วยเหตุนี้ การปกปิดตัวตนในกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่ดิจิทัลจึงสิ้นสุดลงแล้วอย่างแท้จริง

โทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์

ผลที่ตามมาจากการไม่ปฏิบัติตามภาระหน้าที่เสียภาษีมีความรุนแรงมาก กรณีไม่ยื่นแบบ อาจถูกปรับไม่เกิน 2,000 บาท และอาจถูกลงโทษจำคุกด้วย กรณีชำระภาษีล่าช้า จะต้องชำระเงินเพิ่มอัตราดอกเบี้ย 1.5% ต่อเดือน กรณีแจงรายได้ต่ำกว่าความเป็นจริงโดยเจตนาหรือหลีกเลี่ยงภาษี จะถูกเรียกเก็บเงินเพิ่มเท่ากับ 1 เท่าถึง 2 เท่าของจำนวนเงินภาษีที่ต้องชำระเพิ่ม

เมื่อรวมภาษีที่ต้องชำระเพิ่ม เงินเพิ่ม และเงินเพิ่มจากการผิดกำหนดเวลาเข้าด้วยกัน อาจสูงถึง 4-5 เท่าของจำนวนภาษีที่ควรจะชำระแต่แรก กรมสรรพากรมีอำนาจตรวจสอบย้อนหลัง 2 ปี และสามารถขยายได้ถึง 5 ปีหากจำเป็น

ผลกระทบต่อระบบนิเวศดิจิทัล

การเพิ่มความเข้มงวดครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศดิจิทัลทั้งหมด อินฟลูเอนเซอร์และครีเอเตอร์จะต้องจัดทำบัญชี ยื่นแบบภาษี และอาจต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเช่นนักบัญชีเพื่อให้สามารถปฏิบัติตามภาระหน้าที่ได้อย่างถูกต้อง ครีเอเตอร์ที่มีรายได้สูงหลายคนอาจต้องจัดตั้งนิติบุคคลเพื่อหลีกเลี่ยงอัตราภาษีสูงสุดของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และเพื่อจำกัดความรับผิดชอบทางกฎหมาย

ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มต้องลงทุนในการพัฒนาระบบและโครงสร้างการดำเนินงานใหม่เพื่อปฏิบัติตามภาระหน้าที่รายงานข้อมูลต่อกรมสรรพากร ต้นทุนการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์นี้มีแนวโน้มที่จะถูกถ่ายทอดไปยังผู้ขายในที่สุด สมาคมอีคอมเมิร์ซไทยเตือนว่าผู้ขายที่ปฏิบัติตามภาระหน้าที่เสียภาษีอาจถ่ายทอดต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปยังราคาสินค้า

ในทางกลับกัน การที่ตลาดมีความเป็นทางการและถูกกำกับดูแลมากขึ้นก็นำประโยชน์มาให้ผู้บริโภคด้วย ผู้ประกอบการที่ปฏิบัติตามการเสียภาษีมักถูกมองว่ามีความน่าเชื่อถือสูงและดำเนินงานอย่างมั่นคง ลดความเสี่ยงจากการฉ้อโกงและสินค้าคุณภาพต่ำ ผู้บริโภคจึงสามารถซื้อของได้อย่างมั่นใจมากขึ้น

กระแสในภูมิภาค ASEAN

การเคลื่อนไหวของไทยสอดคล้องกับกระแสของประเทศสมาชิก ASEAN อื่นๆ ที่เพิ่มความเข้มงวดในการเก็บภาษีเศรษฐกิจดิจิทัลเช่นกัน เวียดนามบังคับให้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเช่น Shopee และ Lazada ต้องยื่นและชำระภาษีแทนผู้ขาย นี่เป็นแนวทางที่ให้แพลตฟอร์มรับผิดชอบการเก็บภาษีโดยตรงอย่างเต็มที่

ในมาเลเซีย กรมสรรพากรระบุอินฟลูเอนเซอร์เป็น “ผู้ประกอบการ” และระบุโทษที่ชัดเจนในกรณีฝ่าฝืน จากนั้นจึงดำเนินการตรวจสอบภาษีอย่างแข็งขัน ผลลัพธ์คือการยื่นแบบภาษีจากอินฟลูเอนเซอร์ที่กลัวโทษเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่า อินโดนีเซียก็เช่นเดียวกับเวียดนาม กำหนดให้ตลาดอีคอมเมิร์ซเป็นตัวแทนเก็บภาษีเงินได้อย่างเป็นทางการ

ระบบการรายงานข้อมูลที่ไทยใช้อยู่สามารถมองได้ว่าเป็นขั้นตอนแรกของการเพิ่มความเข้มงวด หากวิธีการนี้ไม่มีประสิทธิภาพหรือไม่สามารถเพิ่มรายได้ภาษีได้ตามที่คาดหวัง รัฐบาลไทยอาจพิจารณาเปลี่ยนไปใช้ระบบตัวแทนเก็บภาษีแบบเวียดนามและอินโดนีเซีย ซึ่งแพลตฟอร์มจะหักภาษี ณ ที่จ่ายแทนผู้ขายและชำระรวมให้มีความเป็นไปได้สูง

มุมมองในอนาคต

BKK IT News มองว่าการเพิ่มความเข้มงวดครั้งนี้จะทำให้เกิดการปรับโครงสร้างตลาดดิจิทัล ครีเอเตอร์และผู้ขายที่เป็นมืออาชีพซึ่งสามารถรองรับต้นทุนการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และดำเนินธุรกิจได้จะอยู่รอด ขณะที่ผู้ขายรายย่อยที่ทำเป็นงานอดิเรกอาจถูกบังคับให้ออกจากตลาด ตลาดจะเข้าสู่ยุคของการรวมตัวและปรับโครงสร้าง โดยมีผู้เล่นจำนวนน้อยลงแต่มีความเชี่ยวชาญสูงขึ้น

ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกคนต้องทบทวนกลยุทธ์เพื่อปรับตัวเข้ากับยุคใหม่นี้ ผู้ประกอบการดิจิทัลต้องจัดการบัญชีอย่างเข้มงวดและพิจารณาการจัดตั้งนิติบุคคล ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มต้องลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และให้ความรู้แก่ระบบนิเวศ ส่วนนักลงทุนต้องมองหาว่าใครจะเป็นผู้ชนะและผู้แพ้ในระยะยาว การประกาศเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2025 เป็นเหตุการณ์สำคัญที่ประกาศการสิ้นสุดยุคเศรษฐกิจดิจิทัลแบบไม่มีกฎเกณฑ์ของไทย

ลิงก์บทความอ้างอิง