เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2025 คณะกรรมาธิการยุโรปเสนอให้ผ่อนคลายกฎระเบียบดิจิทัลครั้งใหญ่ แพ็คเกจที่เรียกว่า Digital Omnibus นี้ มีเนื้อหาแก้ไขส่วนสำคัญของ GDPR และกฎหมาย AI การเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งนี้ให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูขีดความสามารถทางการแข่งขันทางเศรษฐกิจเป็นอันดับแรก แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากภาคประชาสังคมในยุโรป แต่ภาคอุตสาหกรรมกลับตอบรับอย่างดี
อิทธิพลจากรายงาน Draghi
การผ่อนคลายกฎระเบียบครั้งนี้สะท้อนข้อเสนอแนะจากรายงานขีดความสามารถทางการแข่งขันของยุโรป ที่จัดทำโดยนาย Mario Draghi อดีตประธานธนาคารกลางยุโรป ซึ่งเผยแพร่ในปี 2024 รายงานระบุว่ายุโรปตามหลังสหรัฐฯ และจีนในด้านนวัตกรรม โดยสาเหตุหลักประการหนึ่งคือกฎระเบียบที่มากเกินไป
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจยุโรปมีการเติบโตในภาคดิจิทัลที่ชะลอตัว โดยเฉพาะในการพัฒนา AI บริษัทยุโรปประสบปัญหาขาดแคลนข้อมูลเนื่องจากการตีความ GDPR อย่างเข้มงวด ทำให้ตามหลังคู่แข่งจากสหรัฐฯ และจีนอย่างมาก เพื่อแก้ปัญหา AI Gap นี้ คณะกรรมาธิการยุโรปจึงตัดสินใจเปลี่ยนจุดเน้นจากการกำกับดูแลไปสู่การส่งเสริมนวัตกรรม
มาตรการ Stop the Clock สำหรับกฎหมาย AI
ในข้อเสนอ Digital Omnibus การเลื่อนบังคับใช้กฎหมาย AI มีผลกระทบทันทีต่อภาคอุตสาหกรรมมากที่สุด คณะกรรมาธิการยุโรปเสนอให้นำกลไก Stop the Clock มาใช้
กล่าวคือ ภาระผูกพันเกี่ยวกับระบบ AI ความเสี่ยงสูง จะถูกเลื่อนกำหนดบังคับใช้ในด้านการยืนยันตัวตนทางชีวมิติ การศึกษา และการจ้างงาน จากเดือนสิงหาคม 2026 ไปเป็นเดือนธันวาคม 2027 ซึ่งเลื่อนออกไปประมาณ 16 เดือน สำหรับ AI ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ก็ถูกเลื่อนจากเดือนสิงหาคม 2027 ไปเป็นเดือนสิงหาคม 2028 สาเหตุของการเลื่อนนี้เกิดจากความล่าช้าในการจัดทำมาตรฐานทางเทคนิคโดยคณะกรรมการมาตรฐานยุโรป
ขอบเขตของมาตรการผ่อนคลายยังขยายไปยังธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีพนักงานไม่เกิน 750 คน และรายได้ไม่เกิน 150 ล้านยูโร โดยรวมอยู่ในมาตรการพิเศษสำหรับการคำนวณค่าปรับ
การขยายความหมายของ Legitimate Interest ใน GDPR
การเปลี่ยนแปลงที่ก่อให้เกิดข้อโต้แย้งมากที่สุดคือการแก้ไขส่วนสำคัญของ GDPR โดยขยายการตีความ Legitimate Interest ในมาตรา 6 วรรค 1 และเพิ่มบทบัญญัติที่รับรองอย่างชัดเจนว่าการฝึกและพัฒนาโมเดล AI เป็นผลประโยชน์โดยชอบธรรมของบริษัท
เดิมทีการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลในการเรียนรู้ของ AI จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลแต่ละราย แต่ข้อเสนอครั้งนี้เปิดทางให้ใช้ข้อมูลได้โดยไม่ต้องขอความยินยอม หากมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสม
นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอผ่อนคลายการประมวลผลข้อมูลอ่อนไหว เช่น เชื้อชาติและสถานะสุขภาพ โดยอนุญาตให้ประมวลผลข้อมูลเหล่านี้ได้หากจำเป็นสำหรับการตรวจจับอคติและปรับปรุงความปลอดภัยของระบบ AI
การยกเลิก Cookie Banner
การเปลี่ยนแปลงที่ใกล้ชิดกับผู้บริโภคมากที่สุดคือการยกเลิก Cookie Consent Banner ที่ปรากฏขณะท่องเว็บ มีการเสนอให้ยกเลิกการขอความยินยอมในแต่ละเว็บไซต์ และเปลี่ยนไปใช้การตั้งค่าความเป็นส่วนตัวแบบรวมศูนย์ผ่านเบราว์เซอร์หรือระบบปฏิบัติการ
การเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้อำนาจในการจัดการความเป็นส่วนตัวบนเว็บย้ายจากผู้ดำเนินการเว็บไซต์แต่ละรายไปยังผู้ให้บริการเบราว์เซอร์รายใหญ่ เช่น Google, Apple และ Microsoft การกำหนดมาตรฐานเทคนิคและความเสี่ยงจากการตั้งค่าที่ลำเอียงโดยผู้ให้บริการยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามต่อไป
ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์จากแรงกดดันของสหรัฐฯ
การเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งนี้ยังได้รับอิทธิพลจากแรงกดดันจากสหรัฐฯ รัฐบาล Trump ที่กำลังจะเข้ารับตำแหน่งวิพากษ์วิจารณ์ว่ากฎระเบียบดิจิทัลของ EU กำหนดเป้าหมายบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ อย่างไม่เป็นธรรม มีรายงานว่านาย Howard Lutnick ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรีพาณิชย์คนต่อไป ได้เรียกร้องโดยตรงให้ EU ยกเลิกกฎระเบียบ
ในทางกลับกัน มีการบอกเป็นนัยว่าหากผ่อนคลายกฎระเบียบ การลงทุนจากสหรัฐฯ มูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ต่อปีอาจไหลเข้า EU แต่หากยังคงรักษากฎระเบียบไว้ ก็มีท่าทีพร้อมที่จะตอบโต้ด้วยภาษีศุลกากร การตัดสินใจของคณะกรรมาธิการยุโรปครั้งนี้จึงทำหน้าที่เป็นคำตอบต่อข้อเรียกร้องให้ยกเลิกกฎระเบียบจากสหรัฐฯ
ภาคประชาสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง
กลุ่มองค์กรคุ้มครองความเป็นส่วนตัวและภาคประชาสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง NOYB ที่นำโดยนาย Max Schrems ประณามว่าข้อเสนอนี้จะทำลายหลักการพื้นฐานของ GDPR EDRi (European Digital Rights) เรียกว่านี่คือการถอยหลังครั้งใหญ่ของการคุ้มครองดิจิทัล และวิพากษ์วิจารณ์ว่าคณะกรรมาธิการยอมจำนนต่อแรงกดดันของ Big Tech
ในทางตรงกันข้าม ภาคอุตสาหกรรมยุโรปยินดีต้อนรับข้อเสนอนี้ว่าเป็นการกลับสู่สามัญสำนึก สมาคมอุตสาหกรรมดิจิทัลยุโรปประเมินว่านี่คือก้าวสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันและดึงดูดการลงทุน
แนวโน้มในอนาคต
BKK IT News มองว่าข้อเสนอนี้อาจได้รับการแก้ไขระหว่างการพิจารณาในรัฐสภายุโรป อย่างไรก็ตาม ทิศทาง Innovation First ที่คณะกรรมาธิการยุโรปแสดงให้เห็นนั้น ดูเหมือนจะไม่สามารถพลิกกลับได้ง่ายอีกต่อไป
สำหรับธุรกิจ การติดตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบ และทบทวนกลยุทธ์การพัฒนา AI และการใช้ข้อมูลอย่างยืดหยุ่น อาจเป็นทางเลือกหนึ่งที่ควรพิจารณา บริษัทที่ดำเนินธุรกิจในตลาดยุโรปจำเป็นต้องติดตามความคืบหน้าของกระบวนการนิติบัญญัติอย่างต่อเนื่อง
ลิงก์บทความอ้างอิง
- Digital Package | Shaping Europe’s digital future – European Commission
- Simplifying EU digital laws for competitiveness – European Parliament
- Commission Proposes Significant Changes to EU Digital Rules – First Impressions – Skadden
- Digital Omnibus: EU Commission wants to wreck core GDPR principles – NOYB
- The Draghi report on EU competitiveness – European Commission


