รัฐบาลไทยกำลังผลักดันนโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้าเหมาจ่าย 20 บาทที่จะเริ่มดำเนินการเต็มรูปแบบตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ในขณะที่คาดว่าผู้โดยสารจะได้รับประโยชน์จากการลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางอย่างมากนั้น ก็ยังมีความท้าทายด้านภาระการอุดหนุนปีละ 10 พันล้านบาทและปัญหาในการดำเนินงานที่เด่นชัดขึ้น
คำสัญญาของพรรคเพื่อไทยกลายเป็นจริง
ระบบค่าโดยสารเหมาจ่าย 20 บาทซึ่งเป็นคำสัญญาในการหาเสียงของพรรคเพื่อไทยพรรครัฐบาลได้เริ่มดำเนินการหลังจากการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 จะมีการกำหนดค่าโดยสารสูงสุดไว้ที่ 20 บาทใน 13 สายทั่วกรุงเทพมหานคร
ในระบบค่าโดยสารปัจจุบัน ในบางกรณีจำเป็นต้องจ่ายสูงสุดถึง 192 บาท การเปลี่ยนสายหลายครั้งอาจทำให้ค่าใช้จ่ายเกิน 100 บาทก็ไม่ใช่เรื่องแปลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกลุมผู้มีรายได้น้อย การใช้ระบบขนส่งสาธารณะจึงเป็นภาระทางการเงิน
สายที่เริ่มใช้ระบบก่อนมีผลดีปรากฏชัดแล้ว สายสีแดงมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 50% สายสีม่วงเพิ่มขึ้น 17.7% รัฐบาลคาดว่าโดยรวมจะมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น 15-20%
การจัดการผู้ใช้บริการผ่านระบบดิจิทัล
ระบบใหม่จะเปิดให้เฉพาะคนไทยเท่านั้น ผู้ใช้บริการต้องลงทะเบียนล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน “ธานรัฐ” ซึ่งจะเริ่มให้ลงทะเบียนตั้งแต่เดือนสิงหาคม มีการยืนยันตัตนผ่านเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก
ระบบการชำระเงินแตกต่างกันไปตามแต่ละสาย สายเขียวใช้บัตร Rabbit สายแดงใช้บัตร EMV แบบไร้สัมผัส เป้าหมายคือการนำระบบรวมแบบ QR Code มาใช้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2569
ผู้ใช้บริการที่ไม่ลงทะเบียนหรือชาวต่างชาติจะจ่ายค่าโดยสารตามปกติ แอปพลิเคชัน “ธานรัฐ” ที่พัฒนาโดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัลถูกกำหนดให้เป็นแอปรวมบริการของรัฐบาล
ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์
คาดว่าการลดค่าโดยสารจะกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่รอบนอก การที่ค่าใช้จ่ายในการเดินทางระยะไกลจากใจกลางเมืองลดลงอย่างมาก จะขยายทางเลือกที่อยู่อาศัยสำหรับกลุ่มคนรายได้ปานกลางและรายได้น้อย
คาดว่าพื้นที่รอบนอกตามแนวรถไฟฟ้าจะมีการก่อตั้งชุมชนใหม่ การผลักดันรูปแบบการพัฒนาแบบ Transit-Oriented Development (TOD) จะทำให้มูลค่าอสังหาริมทรัพย์เพิ่มสูงขึ้น
การลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางจะทำให้รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น คาดว่าจะกระตุ้นกิจกรรมการบริโภค รัฐบาลประเมินผลประหยัดในปีแรกประมาณ 1,000 ล้านบาท
ผลต่อสิ่งแวดล้อมในฐานะมาตรการแก้ปัญหา PM2.5
นโยบายนี้ได้รับความสนใจในฐานะมาตรการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศที่รุนแรงของกรุงเทพฯ มุ่งหวังลดฝุ่น PM2.5 และก๊าซเรือนกระจกผ่านการส่งเสริมให้เปลี่ยนจากรถยนต์ส่วนตัวมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะ
การเพิ่มการใช้รถไฟฟ้าจะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยตรง คาดว่าจะมีผลทางเศรษฐกิจจากการลดปัญหาการจราจรติดขัดด้วย
แต่การเพิ่มขึ้นของผู้โดยสารอย่างรวดเร็วอาจทำให้เกิดปัญหาด้านความจุในสายหลักอย่างสายสีน้ำเงิน จำเป็นต้องเร่งเพิ่มขบวนรถและเพิ่มความถี่ในการวิ่งเพื่อรักษาคุณภาพของบริการ
ความเป็นจริงของภาระทางการเงินที่หนัก
ปัญหาใหญ่ที่สุดคือความยั่งยืนทางการเงิน รัฐบาลคาดว่าจะมีภาระการอุดหนุนปีละ 50-100 พันล้านบาท เงินทุนเริ่มแรกจะมาจาก 16 พันล้านบาทของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) แต่กลไกการจัดหาเงินทุนระยะยาวยังไม่มั่นคง
แหล่งรายได้ของกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วมพึ่งพาแหล่งเงินที่ไม่คงที่ เช่น ค่าธรรมเนียมบัตร ค่าปรับ แม้การแก้ไขพระราชบัญญัติ รฟม. จะทำให้สามารถออกหุ้นกู้ได้ แต่ในที่สุดก็มีความเสี่ยงที่จะโยนภาระไปสู่งบประมาณของชาติ
ในประเทศอังกฤษมีกรณีที่ความไม่แน่นอนของนโยบายทำให้ผู้ประกอบการลังเลใจในการลงทุน ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องชี้แจงความมุ่งมั่นระยะยาวให้ชัด
ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางภูมิศาสตร์และความเป็นธรรม
ประโยชน์ที่เน้นให้กับชาวกรุงเทพฯ ในขณะที่เมืองในส่วนภูมิภาคยังขาดบริการรถไฟฟ้าขั้นพื้นฐาน เป็นที่มาของคำถามเกี่ยวกับความเป็นธรรมในระดับประเทศ
แม้ในกรุงเทพฯ เครือข่ายรถไฟฟ้าปัจจุบันยังครอบคลุมเพียง 22% ของพื้นที่ทั้งหมด ประชาชนในพื้นที่ที่อยู่ห่างจากสายรถไฟฟ้าจึงได้รับประโยชน์ยาก การแก้ปัญหาความเป็นธรรมที่แท้จริงจึงยังเป็นความท้าทาย
การปรับปรุงความเชื่อมต่อ “First Mile – Last Mile” ผ่านการพัฒนารถเมล์ป้อนและโครงสร้างพื้นฐานสำหรับคนเดินเท้าจึงเป็นเรื่องเร่งด่วน
มุมมองของ BKK IT News
ระบบค่าโดยสารเหมาจ่าย 20 บาทอาจมีบทบาทเป็นตัวกระตุ้นการปฏิรูประบบขนส่งสาธารณะของไทยอย่างรากฐาน กุญแจแห่งความสำเร็จจะอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงจากนโยบาย “Quick Win” ระยะสั้นสู่กลยุทธ์ระยะยาวที่ยั่งยืน
ไม่เพียงแต่การรวมค่าโดยสาร แต่รวมถึงการรวมระบบที่แท้จริง กลไกการจัดหาเงินทุนที่มั่นคง และการประกันความเป็นธรรมทั่วประเทศจะเป็นปัญหาสำคัญในอนาคต ความสำเร็จของนโยบายจะขึ้นอยู่กับการที่จะสามารถสร้างการปฏิรูปการขนส่งในเมืองที่ครอบคลุมมากขึ้นได้หรือไม่
เหลือเวลาอีก 2 เดือนครึ่งก่อนการเริ่มใช้ระบบ สิ่งที่จับตามองคือการที่จะสามารถแสดงเส้นทางสู่การสร้างระบบขนส่งสาธารณะที่ยั่งยืนในขณะที่รักษาสมดุลระหว่างความคาดหวังของผู้โดยสารและภาระทางการเงิน
ลิงก์บทความอ้างอิง
– Train fare on all Bangkok lines to be capped at THB20 by Sept 2025
– Is the mass transit rail 20-baht per trip initiative sustainable?
– Cabinet approves 20-baht electric railway fare project, starting in …
– ตั๋วร่วม (1): จุดเปลี่ยนระบบขนส่งสาธารณะไทย? – TDRI: Thailand …
– ตั๋วร่วม(3): 20 บาทตลอดสาย กับคำถามถึงความยั่งยืน ใครได้ ใครไปไม่ถึง …