ETDA เปิดแผน AI Hub ไทย ~3 เสาหลักสู่เป้าหมาย 2030~

หน่วยงาน ETDA เริ่มแผนหลัก AI Hub ของไทย ~3 เสาหลักสำหรับเป้าหมาย 2030~ AI
AI

หน่วยงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ประกาศแผนหลักเพื่อพัฒนาประเทศไทยเป็น AI Hub ระดับภูมิภาคเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2025 แผนนี้มี 3 เสาหลัก ได้แก่ “การเสริมสร้างความไว้วางใจดิจิทัล” “การเร่งพัฒนา AI” และ “การสร้างธรรมาภิบาลแพลตฟอร์ม” เป้าหมายคือสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจ 2.6 ล้านล้านบาทภายในปี 2030 ความสำเร็จขึ้นอยู่กับการปรับปรุงคุณภาพข้อมูลและการแก้ไขปัญหาขาดแคลนทักษะ

แผนที่เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ระยะยาว

นโยบาย AI ของไทยเริ่มต้นจาก “ไทยแลนด์ 4.0” ในปี 2016 ในปี 2018 รัฐบาลจัดทำกลยุทธ์ระดับชาติ ต่อมาปี 2022 มีการประกาศแผนยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการ AI ระดับชาติ (2022-2027) แผนหลักครั้งนี้เป็นขั้นตอนการนำวิสัยทัศน์ระยะยาวไปสู่การปฏิบัติจริง

ยุทธศาสตร์ AI ระดับชาติตั้งเป้าหมายสร้างบุคลากร AI มากกว่า 30,000 คน สร้างผลกระทบทางธุรกิจและสังคม 48,000 ล้านบาท และขยายองค์กรที่ใช้ AI มากกว่า 600 แห่งภายในปี 2027 แผนหลักของ ETDA จึงเป็นแผนปฏิบัติการเพื่อบรรลุเป้าหมายเหล่านี้

จุดสำคัญคือไทยเลือกแยกตัวจากแบบอย่าง AI Act ของ EU และเลือกแนวทางที่ยืดหยุ่นมากขึ้น ในเดือนพฤษภาคม 2025 ETDA แสดงความเห็นว่าข้อบังคับที่เข้มงวดของ EU ไม่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมทางเทคโนโลยีของไทย ETDA เปลี่ยนทิศทางไปสู่ “กฎหมาย AI แบบสนับสนุน” ที่เน้น sandbox และแนวทางปฏิบัติ นี่เป็นการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในฐานะประเทศที่นำเทคโนโลยีเข้า เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่การควบคุมมากเกินไปจะขัดขวางนวัตกรรม

กลยุทธ์ครอบคลุม 3 เสาหลัก

การเสริมสร้างพื้นฐานความไว้วางใจดิจิทัล

เสาหลักแรกมุ่งเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่เป็นรากฐานของกลยุทธ์ AI มีแผนเชื่อมต่อบริการอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ 1,464 บริการเข้าสู่ระบบ National Digital ID ภายในปี 2026 เป็นการขยายจาก 1,315 บริการในปี 2025

สิ่งสำคัญคือการจัดทำกลไกธรรมาภิบาลเพื่อส่งเสริมการแบ่งปันข้อมูลอย่างปลอดภัยระหว่างภาครัฐและเอกชน มีการพิจารณา use case นำร่องในสาขาการแพทย์ การเงิน และประกันภัย เป็นการเตรียมพื้นฐานสำหรับการใช้ AI ในสาขาที่มีความลับสูง

รัฐบาลส่งเสริมนโยบาย “Cloud First” ระดับชาติ โดยย้ายบริการดิจิทัลภาครัฐไปสู่แพลตฟอร์มคลาวด์มาตรฐาน และเร่งการเปลี่ยนแปลงไปสู่รัฐบาลดิจิทัล

การสร้างและส่งเสริมความสามารถ AI

เสาหลักที่สองแสดงแผนปฏิบัติการโดยตรงสำหรับการนำ AI เข้ามาใช้ มีการเร่งจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการธรรมาภิบาล AI (AIGPC) ให้ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางระดับชาติและระดับภูมิภาค

การประเมินผลกระทบด้านจริยธรรม (EIA) สำหรับ AI model เช่น Large Language Model (LLM) เป็นองค์ประกอบสำคัญ เพื่อสร้างกรอบการทำงานและวิธีการทดสอบที่เข้มงวด เพื่อให้มั่นใจในการใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ

ในด้านการสนับสนุนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม มีเป้าหมายสนับสนุนบริษัท 1,000 แห่งในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI เข้ามาใช้ ตั้งเป้าสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจมากกว่า 500 ล้านบาท รวมถึงการยกระดับรายได้ของชุมชนในพื้นที่และการพัฒนาความรู้ด้าน AI และดิจิทัลให้กับประชาชนมากกว่า 10,000 คน

การเสริมสร้างการควบคุมแพลตฟอร์ม

เสาหลักที่สามมุ่งเน้นการจัดระเบียบสภาพแวดล้อมการควบคุมเศรษฐกิจดิจิทัล มีการเร่งจัดทำมาตรฐานเพิ่มเติมสำหรับการควบคุม Digital Platform Service (DPS) และสร้างแนวปฏิบัติที่ดี

มีการนำ incentive เช่น certification mark เข้ามาใช้เพื่อส่งเสริมให้แพลตฟอร์มปฏิบัติตามกฎหมาย DPS การขยายความร่วมมือระหว่างประเทศและการรวมศูนย์รับเรื่องร้องเรียน “1212 ETDA” เป็นศูนย์กลางแก้ไขปัญหาจะได้รับการส่งเสริม

การแข่งขันในอาเซียนและกลยุทธ์สร้างความแตกต่าง

ในภูมิภาคเอเชีย ประเทศต่างๆ แข่งขันกันในการสร้างแนวคิด AI Hub อินโดนีเซียใช้แนวทางการลงทุนเป็นหลัก โดยสร้างกองทุน AI ภาครัฐผ่านโครงการ Public-Private Partnership (PPP) ไทยสร้างความแตกต่างด้วยแบบจำลองที่เน้นธรรมาภิบาลและโครงสร้างพื้นฐาน

สิงคโปร์มีข้อได้เปรียบในฐานะ technology hub ที่มีอยู่แล้ว เวียดนามแสดงจุดแข็งในสาขา medical AI ในสภาพแวดล้อมการแข่งขันนี้ ไทยมุ่งหวังสร้างตำแหน่งในฐานะผู้นำภูมิภาคด้าน “Responsible AI”

ท่ามกลางความกังวลเรื่องการใช้ AI ในทางที่ผิดทั่วโลก ชื่อเสียงด้านธรรมาภิบาลที่แข็งแกร่งและคาดเดาได้จะเป็นปัจจัยดึงดูดการลงทุนคุณภาพสูงจากบริษัทข้ามชาติที่ไม่ต้องการความเสี่ยง ไทยกำลังสร้าง “พื้นที่ปลอดภัย” สำหรับนวัตกรรม AI

ความท้าทายและการตอบสนองของภาคเอกชน

ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดคือการปรับปรุงคุณภาพข้อมูล จากการสำรวจในปี 2024 พบว่าองค์กรภาคการผลิตของไทย 65% ระบุความกังวลเรื่องคุณภาพข้อมูลเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อการนำ AI เข้ามาใช้ องค์กรที่นำ AI เข้ามาใช้มีเพียง 18% และ 73% ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา

ปัญหาขาดแคลนบุคลากรก็เป็นประเด็นร้ายแรง แรงงานความรู้ของไทยรายงานอัตราการใช้ AI ในที่ทำงานสูง (92%) แต่ในระดับองค์กรกลับมีความล่าช้าเชิงกลยุทธ์ ผู้ใช้ที่มีแผน AI อย่างเป็นทางการมีเพียง 30%

ภาคเอกชนต้องตอบสนองสองแนวทาง คือการยกระดับความรู้ดิจิทัลอย่างกว้างขวางสำหรับพนักงานทุกคน และการจัดทำนโยบายการใช้ AI เชิงกลยุทธ์สำหรับผู้บริหารและผู้จัดการ

แนวโน้มในอนาคต

BKK IT News ประเมินว่าแผนหลักนี้ไม่ใช่แค่การส่งเสริมเทคโนโลยี แต่เป็นแผนปฏิบัติการที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ระดับชาติ ลำดับเชิงกลยุทธ์ “ความไว้วางใจ → เทคโนโลยี → การควบคุม” แสดงแนวทางที่เป็นจริงในการสร้างระบบนิเวศ AI ที่ยั่งยืน

การเริ่มต้นใช้งาน Virtual Bank ในปี 2026-2027 จะเป็นการทดสอบกลยุทธ์ AI Hub ครั้งสำคัญ เพราะต้องใช้ทั้ง 3 เสาหลักที่ ETDA กำลังสร้าง คือ Digital ID การแบ่งปันข้อมูลอย่างปลอดภัย และ AI governance

หากสำเร็จ ไทยจะสร้างตำแหน่งผู้นำภูมิภาคด้าน “AI ที่ใช้งานได้และมีความรับผิดชอบ” สำหรับภาคเอกชน นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่การจัดระบบธรรมาภิบาลข้อมูลและการลงทุนพัฒนาบุคลากรจะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน

ลิงก์บทความอ้างอิง