รัฐบาลไทยกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญของการเปลี่ยนแปลงดิจิทัล หน่วยงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA) ได้เปิดตัวร่างแนวทางการใช้งานคลาวด์ของภาครัฐเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2025 ที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายเชิงกลยุทธ์ที่เร่งการย้ายหน่วยงานราชการสู่คลาวด์พร้อมเสริมสร้างความอธิปไตยข้อมูล ภายใต้หลักการ “Cloud First” รัฐบาลจัดแบ่งข้อมูลเป็น 3 ระดับ และกำหนดให้ข้อมูลที่มีความลับสูงสุดต้องจัดเก็บใน “Sovereign Cloud” ภายในประเทศ ซึ่งเป็นการออกแบบนโยบายที่สร้างสมดุลระหว่างการส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติกับการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศอย่างชาญฉลาด
รากฐานนโยบายในอดีตและเส้นทางสู่ความอธิปไตยข้อมูล
การจัดทำแนวทางนี้ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงนโยบายที่เกิดขึ้นโดยทันที แต่มีพื้นฐานมาจากแนวคิด “ไทยแลนด์ 4.0” ที่มุ่งเปลี่ยนประเทศสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม และวิสัยทัศน์ “Ignite Thailand” ที่ตั้งเป้าให้ไทยเป็นศูนย์กลางดิจิทัลของภูมิภาคภายในปี 2030
รากฐานทางกฎหมายที่สำคัญคือ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ที่มีผลใช้บังคับเต็มรูปแบบในเดือนมิถุนายน 2022 และพระราชบัญญัติความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ปี 2019 โดยเฉพาะข้อบังคับที่ประกาศใช้ในเดือนกันยายน 2024 ได้กำหนดให้ระบบโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศที่สำคัญ (CII) ที่มีผลกระทบสูงต้องติดตั้งศูนย์ข้อมูลหลักในประเทศ
การขยายข้อกำหนดการเก็บข้อมูลภายในประเทศจากผู้ประกอบการเอกชนและผู้ดำเนินงาน CII ไปสู่หน่วยงานภาครัฐทั้งหมด แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาปรัชญาการควบคุมดิจิทัลของไทยสู่ระดับที่ครอบคลุมและเป็นระบบมากขึ้น
การจัดแบ่งข้อมูล 3 ระดับและข้อกำหนดหลัก “Sovereign Cloud”
หัวใจสำคัญของแนวทางใหม่คือระบบการจัดแบ่งข้อมูลภาครัฐตามระดับความลับเป็น 3 ระดับ
ข้อมูลทางการ (Official Data) มีความลับต่ำและสามารถจัดเก็บใน Public Cloud ทั่วไป รวมถึงข้อมูลเปิดของเว็บไซต์ราชการและข่าวประชาสัมพันธ์ โดย DGA อาจอนุญาตให้จัดเก็บข้อมูลนอกประเทศได้ในกรณีพิเศษ
ข้อมูลคุ้มครอง (Protected Data) ประกอบด้วยบันทึกภาษี ประวัติการรักษาพยาบาล ข้อมูลการเงินส่วนบุคคล ซึ่งแนะนำให้จัดเก็บใน Domestic Public Cloud ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยเสริม ยังคงสามารถจัดเก็บนอกประเทศได้ในบางเงื่อนไข
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ข้อมูลคุ้มครองระดับสูง (Highly Protected Data) ที่รวมถึงข้อมูลความมั่นคงแห่งชาติและข้อมูลทหาร ซึ่งกำหนดให้จัดเก็บใน “Sovereign Cloud” หรือ “State-controlled Cloud” เท่านั้น โดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ
“Sovereign Cloud” ต้องมีคุณสมบัติสองประการพร้อมกัน คือ ศูนย์ข้อมูลต้องตั้งอยู่ในดินแดนไทยจริง และต้องมีนิติบุคคลไทยเป็นผู้ดำเนินงาน รวมทั้งต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมทางกฎหมายที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลต่างชาติ เช่น CLOUD Act ของสหรัฐอเมริกา
การกำหนดข้อกำหนดนี้ทำให้ผู้ให้บริการคลาวด์ระดับโลกอย่าง AWS, Microsoft Azure, Google Cloud สามารถเข้าสู่ตลาด “ข้อมูลทางการ-ข้อมูลคุ้มครอง” ได้ แต่ตลาด “ข้อมูลคุ้มครองระดับสูง” ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงสุดจะได้รับการปกป้องไว้ให้กับผู้ประกอบการในประเทศหรือกิจการร่วมทุนจริงๆ
การเปลี่ยนแปลงบทบาทเชิงกลยุทธ์ของ เนชั่นแนล เทเลคอม (NT)
ในระบบการดำเนินนโยบาย บทบาทของ เนชั่นแนล เทเลคอม (NT) มีการพัฒนาขึ้นอย่างมาก จากผู้ให้บริการ Government Data Center and Cloud (GDCC) แต่เพียงผู้เดียว เปลี่ยนเป็นผู้ดำเนินการ-ผู้ควบคุมประตู “Cloud Management Platform (CMP)” ที่ผู้ให้บริการคลาวด์ในประเทศและต่างประเทศหลากหลายรายเข้าร่วม
การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากการตระหนักถึงปัญหาจริง ขณะนี้ GDCC สามารถให้บริการเครื่องเสมือน (VM) ได้เพียงประมาณ 46,000 VM เท่านั้น แต่ความต้องการของหน่วยงานภาครัฐทั้งหมดคาดว่าจะเกิน 200,000 VM ซึ่งเป็นภาวะขาดแคลนอุปทานอย่างท่วมท้น
ในรูปแบบใหม่ NT จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางที่ควบคุมตลาดบริการคลาวด์สำหรับหน่วยงานภาครัฐทั้งหมด และเป็นผู้ดูแลการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ผู้ให้บริการคลาวด์ในประเทศและต่างประเทศจะต้องลงทะเบียนและขอรับรองจาก CMP ที่ NT ดำเนินการ จึงจะสามารถให้บริการแก่หน่วยงานภาครัฐได้ ดังนั้น การสร้างความสัมพันธ์เชิงกลยุทธ์กับ NT จึงกลายเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการเข้าสู่ตลาด
กลยุทธ์การดึงดูดการลงทุนศูนย์ข้อมูลที่แยบยล
นโยบายนี้ทำหน้าที่เป็น “กลไกดึงดูดการลงทุน” เพื่อดึงดูดการลงทุนศูนย์ข้อมูลจำนวนมหาศาลจากต่างชาติ รัฐบาลรับประกันฐานลูกค้าขนาดใหญ่และมั่นคงในรูปของหน่วยงานภาครัฐทั้งหมดด้วยนโยบาย “Cloud First” และกำหนด “บัตรเข้างาน” สู่ตลาดนั้นในรูปของการจัดเก็บข้อมูลภายในประเทศ คือการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพในประเทศ
กลยุทธ์นี้ได้ผลแล้ว ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ AWS ประกาศลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์ Google 1 พันล้านดอลลาร์ และ Microsoft ประกาศการสร้าง Data Center Region ใหม่ เป็นต้น แสดงถึงแผนการลงทุนจำนวนมหาศาลจากบริษัทชั้นนำต่างๆ
เป้าหมายของรัฐบาลชัดเจน คือผลักดันให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางดิจิทัลในอาเซียนที่มีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลระดับโลกด้วยการดึงดูดการลงทุน พร้อมรับประกันความอธิปไตยข้อมูลและส่งเสริมอุตสาหกรรมคลาวด์ในประเทศ เป็นกลยุทธ์คู่ที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและเงินทุนจากต่างชาติ ขณะเดียวกันสงวนส่วนแบ่งตลาดที่มีความลับสูงสุดไว้ในประเทศ
ผลกระทบต่อองค์กรและแนวโน้มอนาคต
จากมุมมอง BKK IT News ผลกระทบของนโยบายนี้ต่อสภาพแวดล้อมการดำเนินธุรกิจในไทยจะมีขนาดใหญ่มาก ผู้ให้บริการคลาวด์ต่างชาติที่ต้องการเข้าสู่ตลาดการจัดซื้อภาครัฐจำเป็นต้องสร้างความสัมพันธ์กับ NT และลงทุนศูนย์ข้อมูลในประเทศ สำหรับการเข้าสู่ตลาด “Sovereign Cloud” จำเป็นต้องใช้กลยุทธ์ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เช่น การจัดตั้งกิจการร่วมทุนกับองค์กรในประเทศหรือการให้ลิขสิทธิ์เทคโนโลยี
สำหรับบริษัทผู้รวมระบบและที่ปรึกษาในประเทศ จะเกิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ในการสนับสนุนการย้ายหน่วยงานราชการสู่คลาวด์ งานจัดแบ่งข้อมูล และการสนับสนุนการปฏิบัติตามกฎระเบียบ
ในขณะเดียวกันก็มีความท้าทาย การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของศูนย์ข้อมูลจะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของความต้องการพลังงาน อาจเกิดความตึงเครียดทางนโยบายระหว่างความทะเยอทะยานในการเปลี่ยนเป็นดิจิทัลของประเทศกับการจัดหาพลังงานและความยั่งยืน องค์กรที่สามารถให้เทคโนโลยีพลังงานสีเขียวและศูนย์ข้อมูลประสิทธิภาพสูงจะได้รับโอกาสในการสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขันใหม่
เหลือเวลาไม่ถึง 2 เดือนกับกำหนดการมีผลใช้บังคับ 1 ตุลาคม 2025 ขณะนี้ความสนใจจึงมุ่งไปที่เนื้อหาของแนวทางฉบับสุดท้ายหลังรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ และคำนิยามเฉพาะของ “Sovereign Cloud” สำหรับองค์กร การเตรียมความพร้อมล่วงหน้าและการสร้างความร่วมมือจึงเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ
ลิงค์บทความอ้างอิง
- Thailand releases draft guidelines on government cloud adoption and data classification – Hogan Lovells
- Thailand Releases Draft Guidelines on Government Cloud Adoption and Data Classification – Tilleke & Gibbins
- Cloud First policy gets underway on Oct 1 – Bangkok Post
- Thailand’s Cloud-First Policy: Legal Landscape and Strategic Implications for Data Centers and Cloud Systems – MPG
- Microsoft announces significant commitments to enable a cloud and AI-powered future for Thailand – Microsoft