ภาคอุตสาหกรรมไทยเผชิญเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน กรมโรงงานอุตสาหกรรม (DIW) เผยแพร่ข้อมูลวันที่ 9 สิงหาคม ว่าในเดือนมิถุนายน 2568 จำนวนโรงงานที่ปิดตัวลง 73 แห่ง เท่ากับจำนวนโรงงานเปิดใหม่ที่ 73 แห่ง อัตราส่วน 1:1 นี้เป็นสถานการณ์ที่น่าวิตกอย่างยิ่งสำหรับภาคการผลิต โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ เคมี และเหล็กที่ประสบปัญหาการปิดโรงงานอย่างรุนแรง แสดงให้เห็นถึงรอยแตกโครงสร้างของฐานอุตสาหกรรมไทย
ความเสียหายของภาคการผลิต: คนงาน 12,769 คนตกงาน
ช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม-กรกฎาคม) ผลกระทบจากการปิดโรงงานมีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จำนวนโรงงานที่ปิดตัวลงสะสม 425 แห่ง มูลค่าการลงทุนที่สูญเสีย 12.7 พันล้านบาท และคนงานที่ตกงาน 12,769 คน
เฉพาะเดือนมิถุนายน โรงงานใหม่สร้างงานได้เพียง 1,413 ตำแหน่ง ขณะที่การปิดโรงงานทำให้สูญเสียงาน 2,307 ตำแหน่ง การลงทุนใหม่มีมูลค่า 2.6 พันล้านบาท แต่การสูญเสียจากการปิดโรงงานสูงถึง 3.1 พันล้านบาท แสดงให้เห็นสถานการณ์ลดลงสุทธิ
สิ่งนี้ไม่ใช่การปรับตัวชั่วคราว แต่เป็นผลมาจากการปิดโรงงานที่อยู่ในระดับสูงมานานหลายเดือน จนถึงจุดวิกฤตในเดือนมิถุนายน
อุตสาหกรรมหลักที่ได้รับผลกระทบ
อุตสาหกรรม 5 อันดับแรกที่ประสบการสูญเสียการลงทุนสูงสุดมีดังนี้
- อุตสาหกรรมเครื่องจักรและอุปกรณ์: สูญเสียการลงทุน 1.73 พันล้านบาท
- อุตสาหกรรมเคมีและผลิตภัณฑ์เคมี: สูญเสียการลงทุน 1.37 พันล้านบาท
- อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์โลหะ: สูญเสียการลงทุน 1.37 พันล้านบาท
- อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน: สูญเสียการลงทุน 1.27 พันล้านบาท
- อุตสาหกรรมแปรรูปไม้และผลิตภัณฑ์ไม้: สูญเสียการลงทุน 922.33 ล้านบาท
อุตสาหกรรมเหล่านี้เป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจส่งออกไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ซูซูกิและนิสสันตัดสินใจหยุดการผลิตในไทยอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภาคส่วนชิ้นส่วนยานยนต์ที่สร้างห่วงโซ่อุปทานมานานหลายปีได้รับผลกระทบอย่างหนัก
ภาคเคมี-ปิโตรเคมีประสบปัญหาอุปทานล้นตลาดระดับโลก การเปิดดำเนินการของโรงผลิตต้นทุนต่ำแห่งใหม่ในจีนและตะวันออกกลางทำให้ราคาผลิตภัณฑ์หลักอย่างโพลีเอทิลีนและโพลีโพรพีลีนลดลง ส่งผลกดดันอัตรากำไร
ภาคเหล็กและโลหะเผชิญปัญหาอัตราการใช้กำลังการผลิตต่ำเรื้อรังและแรงกดดันจากการนำเข้า อัตราการใช้กำลังการผลิตของอุตสาหกรรมเหล็กไทยอยู่ต่ำกว่า 30% ขณะที่สินค้าราคาถูกจากจีนไหลเข้ามากดดันตลาดภายในประเทศ
ความแตกต่างกับเศรษฐกิจโดยรวม
ตรงกันข้ามกับความเดือดร้อนของภาคการผลิต เศรษฐกิจไทยโดยรวมแสดงภาพที่แตกต่างออกไป ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) แสดงว่าในครึ่งปีแรก 2568 การจดทะเบียนธุรกิจใหม่ 43,838 ราย การปิดกิจการ 6,244 ราย รักษาอัตราส่วนประมาณ 7:1
ความแตกต่างนี้แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่ “เศรษฐกิจสองความเร็ว” ภาคบริการและภาคบริโภคภายในประเทศแสดงความยืดหยุ่น แต่ภาคการผลิตแบบดั้งเดิมกำลังประสบความไม่เจริญรุ่งเรืองอย่างรุนแรง
ปัจจัยแรงกดดันระยะสั้น
ปัจจัยระยะสั้นที่เร่งให้เกิดวิกฤตนี้คือนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ในช่วงแรกมีการขู่ว่าจะเก็บภาษีลงโทษ 36% แต่สุดท้ายตกลงที่ 19% อย่างไรก็ตาม “ต้นทุนความไม่แน่นอน” ที่เกิดขึ้นในช่วงเจรจานี้กระทบความเชื่อมั่นของธุรกิจโดยตรง
ดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ลดลงต่อเนื่อง 4 เดือน ในเดือนมิถุนายนอยู่ที่ 87.7 จุด ต่ำสุดในรอบ 9 เดือน ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนมิถุนายนขยายตัวเพียง 0.58% เมื่อเทียบกับปีก่อน แสดงให้เห็นถึงการขาดแรงขับเคลื่อนอย่างชัดเจน
ปัญหาโครงสร้างที่ฝังลึก
เบื้องหลังปัจจัยระยะสั้นมีปัญหาโครงสร้างที่รุนแรงกว่า รายงานของธนาคารโลกระบุว่าสัดส่วนบริษัทไทยที่นำนวัตกรรมมาใช้ในกระบวนการผลิตมีเพียง 11.9% ล้าหลังเวียดนาม (37.9%) และฟิลิปปินส์ (40.9%) อย่างมาก
ไทยตกอยู่ในกับดัก “ประเทศรายได้ปานกลาง” แข่งขันด้วยต้นทุนต่ำไม่ได้เมื่อเทียบกับประเทศเกิดใหม่ แต่เทคโนโลยีก็ไม่เท่าทันประเทศพัฒนาแล้ว อุตสาหกรรมเทคโนโลยีกลางและต่ำแบบดั้งเดิมอย่างเครื่องจักรและแปรรูปไม้ที่ปิดตัวลงเรื่อยๆ ในปี 2568 เป็นเหยื่อโดยตรงของกับดักนี้
ยิ่งไปกว่านั้น หนี้ครัวเรือนระดับสูงยับยั้งการบริโภคภายในประเทศ ความไม่มั่นคงทางการเมืองส่งผลกระทบต่อจิตใจนักลงทุน สถานการณ์การนำเข้าสินค้าราคาถูกจากจีนที่กดดันธุรกิจขนาดกลางและเล็กภายในประเทศก็รุนแรงเช่นกัน
การปรับลดแนวโน้มเศรษฐกิจ
สถาบันเศรษฐกิจต่างๆ มองแนวโน้มเศรษฐกิจไทยด้วยความระมัดระวัง ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์อัตราการเติบโต 2568 ที่ 2.3% และ 2569 ที่ 1.7% สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติปรับลดคาดการณ์การเติบโต 2568 ลงมาอย่างมากเป็น 1.3%-2.3% (ค่ากลาง 1.8%)
คาดการณ์เหล่านี้ต่ำกว่าอัตราการเติบโตที่เป็นไปได้ของไทย (ประมาณ 2.7%) อย่างมาก บ่งบอกว่าจะเข้าสู่ช่วงสมรรถนะต่ำกว่าศักยภาพในระยะยาว
แนวโน้มอนาคตและคำแนะนำสำหรับธุรกิจ
BKK IT News เห็นว่าเพื่อผ่านพ้นวิกฤตนี้ ธุรกิจต้องมีการรับมือเชิงกลยุทธ์ดังต่อไปนี้
ก่อนอื่น การขยายการลงทุนสู่นวัตกรรม การเพิ่มค่าใช้จ่ายวิจัยพัฒนาและการนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ เพื่อเปลี่ยนจากการแข่งขันด้วยต้นทุนสู่การแข่งขันด้วยคุณค่า
ถัดมา การพัฒนาทักษะแรงงานใหม่ ส่งเสริมการย้ายบุคลากรจากอุตสาหกรรมที่เสื่อมถอยสู่สาขาที่เติบโต และลงทุนในการพัฒนาทักษะดิจิทัลของพนักงาน
การกระจายตลาดก็เป็นเรื่องเร่งด่วน เมื่อความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดส่งออกหรืออุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งเกินไปปรากฏชัด การสำรวจตลาดใหม่และการทบทวนพอร์ตการลงทุนจึงมีความสำคัญ
รัฐบาลเตรียมมาตรการสนับสนุน ได้แก่ การจ่ายเพิ่ม 10 พันล้านบาทเข้ากองทุนเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน ระบบสินเชื่อดอกเบียยต่ำ การลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล ธุรกิจควรใช้ประโยชน์จากระบบเหล่านี้อย่างแข็งขัน และมองเป็นโอกาสในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง
ภาคการผลิตไทยยืนอยู่ที่จุดเปลี่ยนผ่านประวัติศาสตร์ แม้จะต้องเจ็บปวดในระยะสั้น แต่การเปลี่ยนแปลงรากฐานเพื่อความสามารถในการแข่งขันระยะยาวเป็นสิ่งจำเป็น
ลิงก์บทความอิง
- Thai industrial sector faces mounting pressure as factory closures match new openings in June – Nation Thailand
- ยอดเปิด-ปิดโรงงานเปราะบาง 7 เดือนแรกปี 68 พบ 5 อุตสาหกรรมเลิกกิจการพุ่ง – กรุงเทพธุรกิจ
- Economic downturn leads to 6,244 business closures in H1 2025, says DBD – Nation Thailand
- Thai industrial sentiment hits 9-month low on tariff woes – Bangkok Post
- Thailand factory closures rise amid economic headwinds – Asia News Network