ไทยบังคับใช้ Face Recognition ในการลงทะเบียนซิม ~เริ่มใช้ 18 สิงหาคม เสริมความปลอดภัยองค์กร แต่เพิ่มข้อจำกัดต่อชาวต่างชาติ

ไทยบังคับใช้ Face Recognition ในการลงทะเบียนซิม ~เริ่มใช้ 18 สิงหาคม เสริมความปลอดภัยองค์กร Politic Economy
Politic Economy

คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ประกาศบังคับใช้การยืนยันตัวตนด้วยไบโอเมตริกส์ รวมถึงการยืนยันใบหน้า สำหรับการลงทะเบียนซิมใหม่ ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม วัตถุประสงค์หลักเพื่อป้องกันการฉ้อโกงออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น คาดว่าจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการทำธุรกรรมดิจิทัลของธุรกิจ แต่ชาวต่างชาติจะเผชิญกับข้อจำกัดใหม่ที่ธุรกิจท่องเที่ยวและบริษัทที่จ้างงานชาวต่างชาติต้องเตรียมรับมือ

ระบบลงทะเบียนซิมที่เข้มงวดขึ้นเป็นขั้นเป็นตอน

ระบบลงทะเบียนซิมของไทยได้พัฒนาขึ้นเป็นขั้นเป็นตอนตั้งแต่ปี 2558 เมื่อเริ่มบังคับใช้การลงทะเบียน ปี 2560 นำเทคโนโลยีไบโอเมตริกส์มาใช้ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้เพื่อป้องกันการก่อการร้าย ปลายปีเดียวกันขยายไปทั่วประเทศ โดยเปลี่ยนจุดประสงค์เป็น “เสริมความปลอดภัยของมือถือแบงกิ้ง”

ปี 2566 บังคับให้ผู้ที่มีซิมตั้งแต่ 6 ใบขึ้นไปต้องยืนยันตัวตนใหม่ การบังคับใช้การยืนยันใบหน้าในครั้งนี้เป็นผลต่อเนื่องตามลำดับ เหตุเบื้องหลังคือปัญหาไซเบอร์อาชญากรรมที่รุนแรงขึ้น คนไทย 28% ถูกฉ้อโกงในปีที่ผ่านมา ค่าเสียหายเฉลี่ย 36,000 บาทต่อคน

รายละเอียดกฎใหม่ที่เริ่มใช้ 18 สิงหาคม

กฎใหม่มี “Liveness Detection (การตรวจจับชีวิต)” เป็นหัวใจสำคัญ เทคโนโลยีนี้ป้องกันการแอบอ้างด้วยรูปภาพหรือวิดีโอ โดยตรวจสอบการมีตัวตนจริงของบุคคลแบบเรียลไทม์

เอกสารที่ต้องใช้แตกต่างตามประเภทผู้ใช้ คนไทยต้องแสดงบัตรประชาชนฉบับจริง ชาวต่างชาติต้องแสดงหนังสือเดินทางฉบับจริง นิติบุคคลต้องมีหนังสือรับรองนิติบุคคลพร้อมบัตรประจำตัวของผู้แทน

ข้อจำกัดพิเศษสำหรับชาวต่างชาติคือจุดสำคัญ ผู้ใช้ต่างชาติสามารถมีซิมได้สูงสุด 3 ใบต่อค่ายเท่านั้น ซิมสำหรับนักท่องเที่ยวมีอายุใช้งานสูงสุด 60 วัน มาตรการนี้เพื่อป้องกันการใช้ซิมที่ลงทะเบียนในนามชาวต่างชาติเพื่อกิจกรรมอาชญากรรม

ผู้ให้บริการโทรคมนาคมมีความรับผิดชอบหนัก ต้องติดตั้งระบบ Liveness Detection ในทุกช่องทางภายใน 180 วันหลังจากการประกาศใช้ การจัดการข้อมูลต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) หากละเมิดจะได้รับโทษตั้งแต่ปรับเงินจนถึงยกเลิกใบอนุญาต

ผลกระทบต่อกิจกรรมธุรกิจและแนวโน้มอนาคต

ระบบใหม่จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการทำธุรกรรมดิจิทัลของธุรกิจอย่างมาก การลดลงของอาชญากรรมทางการเงินจะทำให้ผู้บริโภคมั่นใจมากขึ้นในการทำธุรกรรมออนไลน์ ผลการยืนยันตัวตนที่เข้มงวดจากผู้ให้บริการโทรคมนาคมอาจถูกนำไปใช้ในกระบวนการ KYC ของสถาบันการเงินและผู้ให้บริการอื่นๆ ในอนาคต

BKK IT News คาดว่าระบบนี้จะเป็นก้าวสำคัญในยุทธศาสตร์ดิจิทัล ID ของประเทศ การลงทะเบียนซิมจะนำไปสู่การลงทะเบียนดิจิทัล ID ของประชาชนทั่วประเทศจริงๆ ซึ่งจะเร่งการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของภาครัฐและการขยายตัวของเทเลเมดิซีน

แต่ก็มีความท้าทายหลายประการ กลุ่มผู้สูงอายุและผู้พิการอาจมีปัญหาในการใช้งานการยืนยันใบหน้า กสทช.แสดงความเอาใจใส่ต่อ “กลุ่มเปราะบาง” แต่ยังไม่ประกาศมาตรการผ่อนปรนที่ชัดเจน การสร้างฐานข้อมูลข้อมูลใบหน้าขนาดใหญ่ก็เสี่ยงต่อการละเมิดความเป็นส่วนตัวและการกลายเป็นสังคมเฝ้าระวัง

มาตรการที่ธุรกิจควรดำเนินการ

บริษัทที่มีพนักงานต่างชาติจำนวนมากควรทบทวนระบบสนับสนุนการลงทะเบียนซิม โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยวควรพิจารณาแนวทางรับมือลูกค้าภายใต้ข้อจำกัด 60 วัน

จากมุมมองต้นทุนการสื่อสาร ระบบใหม่คาดว่าจะลดการสื่อสารที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกง ซึ่งอาจช่วยลดภาระโครงสร้างพื้นฐานการสื่อสารของธุรกิจ

ด้านการคุ้มครองข้อมูล ธุรกิจที่ต้องจัดการข้อมูลการยืนยันใบหน้าต้องปฏิบัติตาม PDPA เช่นเดียวกับผู้ให้บริการโทรคมนาคม จำเป็นต้องสร้างระบบการจัดการข้อมูลชีวภาพที่เหมาะสม

ระบบใหม่อาจสร้างความสับสนในระยะสั้น แต่ระยะกลางถึงยาวจะช่วยเสริมฐานเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย ธุรกิจควรมองการเปลี่ยนแปลงระบบเป็นโอกาสในการเติบโต และใช้เป็นโอกาสเร่งการเปลี่ยนแปลงดิจิทัล

ลิงก์บทความอ้างอิง