สหรัฐ-ไทยตกลงภาษี 19% หลีกเลี่ยง 36% แต่แลกด้วยการเปิดตลาดครั้งใหญ่

สหรัฐ-ไทยตกลงภาษี 19% หลีกเลี่ยง 36% แต่แลกด้วยการเปิดตลาดครั้งใหญ่ Diplomacy Trade
Diplomacy Trade

วันที่ 1 สิงหาคม รัฐบาลไทยประกาศตกลงกับสหรัฐฯ ให้อัตราภาษีสินค้าไทยเข้าสหรัฐฯ อยู่ที่ 19% สำเร็จหลีกเลี่ยงภาษีลงโทษ 36% ที่คาดหวังไว้ในตอนแรก รัฐบาลไทยเน้นย้ำว่าเป็น “ความสำเร็จ” เพราะได้อัตราภาษีเท่ากับประเทศเพื่อนบ้าน แต่เบื้องหลังการหลีกเลี่ยงวิกฤตระยะสั้น ไทยต้องยอมรับการเปิดตลาดในวงกว้างมาก

ไทย “ชนะ” หลีกเลี่ยงภาษีลงโทษ

รองนายกฯ และรัฐมนตรีการคลัง พิชัย จุ้นหวชิราวงศ์ กล่าวว่า ข้อตกลงนี้เป็น “ความสำเร็จครั้งใหญ่ของทีมไทยแลนด์” อัตราภาษี 19% เท่ากับอินดونีเซีย (19%) มาเลเซีย (19%) ฟิลิปปินส์ (19%) และใกล้เคียงกับเวียดนาม (20%) ที่เป็นคู่แข่งหลัก

สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกใหญ่ที่สุดของไทย ในปี 2024 คิดเป็น 18.3% ของมูลค่าส่งออกรวม หรือ 54.96 พันล้านดอลลาร์ การที่ไม่ต้องเสียเปรียบคู่แข่งในภูมิภาคอย่างมีนัยสำคัญ จึงสำคัญมากต่อความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกของไทย

เมื่อใกล้ถึงกำหนด 1 สิงหาคม ฝ่ายไทยคาดหวังผลลัพธ์ “18-20%” เมื่อเทียบกับสถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่ 36% ถือว่าเป็น “ชิตชนะ” แน่นอน

ข้อเรียกร้อง 20 ปีของสหรัฐฯ ได้รับการบังคับใช้

แต่ “ชัยชนะ” นี้มีราคาแพงมาก สิ่งที่ไทยยอมรับในครั้งนี้ ซ้อนทับกับข้อเรียกร้องที่สหรัฐฯ เสนอมาเป็นเวลานานในการเจรจา FTA ไทย-สหรัฐฯ ที่หยุดชะงักตั้งแต่ยุค 2000

การเจรจา FTA ระหว่างปี 2003-2006 ไทยต่อต้านอย่างแข็งขันในเรื่องเกษตรกรรม บริการทางการเงิน และทรัพย์สินทางปัญญา ทำให้การเจรจาล้มเหลว การเจรจาภาษีปี 2025 กลายเป็นโอกาสทองของสหรัฐฯ ในการบังคับใช้ข้อเรียกร้องที่ค้างคาราวรมา 20 ปี

การเปิดตลาดครั้งใหญ่และแรงกดดันเปลี่ยนโครงสร้าง

ข้อเสนอสุดท้ายของไทยมีการสละสิทธิ์หลักดังนี้

การเข้าถึงตลาดแบบครอบคลุม
– ยกเลิกภาษีสินค้าสหรัฐฯ 90%
– ลดดุลการค้าจากสหรัฐฯ 70% ใน 3 ปี (จาก 46 พันล้านดอลลาร์ต่อปีให้ลดลงอย่างมาก)

การสละสิทธิ์ตามสาขา
– เกษตรกรรม: ยกเลิกภาษีสินค้าสหรัฐฯ หลายหมื่นรายการให้เป็น 0% (ลดผลกระทบด้วยการยกเลิกแบบค่อยเป็นค่อยไปและโควต้าการนำเข้า)
– พลังงาน: เพิ่มการซื้อน้ำมันดิบและ LNG จากสหรัฐฯ
– การบิน: ซื้อเครื่องบินโบอิ้งประมาณ 100 ลำใน 5-10 ปีข้างหน้า
– ดิจิทัล: ยกเว้นภาษีบริการดิจิทัล 5% สำหรับ AWS และ Google Cloud เป็นเวลา 2 ปี

การสละสิทธิ์เหล่านี้แสดงให้เห็นว่า นโยบายการค้าของไทยเปลี่ยนจากการค้าเสรีไปสู่ “การค้าที่มีการจัดการ” ที่ให้สิทธิพิเศษแก่สหรัฐฯ

ระบบติดตามการส่งออกอ้อมที่เข้มงวด

ข้อตกลงรวมบทลงโทษที่เข้มงวดสำหรับการส่งออกอ้อม (Transshipment) สินค้าที่ผลิตในประเทศที่สามและส่งออกผ่านไทยไปยังสหรัฐฯ จะถูกเก็บภาษีเพิ่ม 40% นอกเหนือจากภาษี 19%

รัฐบาลไทยจะเข้มงวดกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า เพิ่มการตรวจสอบโรงงาน และรวมศูนย์การออกใบรับรองถิ่นกำเนิดที่กระทรวงพาณิชย์ มาตรการนี้จะสร้างภาระการปฏิบัติตามกฎหมายใหม่แก่อุตสาหกรรมการผลิต โดยเฉพาะที่มีสัดส่วนการนำเข้าชิ้นส่วนจากจีนสูง

ความขัดแย้งกัมพูชาเป็นปัจจัยชี้ขาด

ปัจจัยชี้ขาดในการเจรจาครั้งนี้คือ ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาที่เกิดขึ้นพร้อมกัน ประธานาธิบดีทรัมป์เตือนว่า “หากการปฏิบัติการศัตรูยังคงดำเนินต่อไป จะไม่มีการผลักดันข้อตกลงการค้า” โดยผูกการเจรจาภาษีเข้ากับปัญหาภูมิรัฐศาสตร์โดยตรง

รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ยอมรับภายหลังว่า ข้อตกลงการค้ากับทั้งสองประเทศได้รับการประกัน “หลังจาก” ข้อตกลงหยุดยิงโดยการไกล่เกลี่ยของมาเลเซีย ไทยต้องเผชิญแรงกดดันสองชั้น ทั้งการสละสิทธิ์ทางเศรษฐกิจและการแก้ไขความขัดแย้งทางทหารตามความประสงค์ของสหรัฐฯ

ผลกระทบต่อธุรกิจส่งออกและแรงกดดันเปลี่ยนโครงสร้าง

ภาษี 19% เป็นภาระหนักสำหรับธุรกิจส่งออกไทย ธุรกิจส่งออกส่วนใหญ่มีอัตรากำไร 5-6% เท่านั้น ภาษี 19% อาจทำให้กำไรหายไปทั้งหมด

ในทางกลับกัน รัฐมนตรีการคลังพิชัย เรียกข้อตกลงนี้ว่าเป็น “สัญญาณเร่งการปรับตัวทางเศรษฐกิจ” ข้อจำกัดของโมเดลการส่งออกที่พึ่งพาแรงงานราคาถูกและอัตราแลกเปลี่ยนถูกเปิดเผย บังคับให้เกิดการปฏิรูปโครงสร้างที่เลื่อนมานาน เช่น การส่งเสริมการลงทุนในประเทศและการยกระดับอุตสาหกรรม

ผลกระทบต่อบริษัทไทยและแนวทางรับมือ

สำหรับบริษัทไทย ข้อตกลงนี้ส่งผลกระทบแบบผสมผสาน อุตสาหกรรมที่ฝังลึกในห่วงโซ่อุปทานสหรัฐฯ อยู่แล้ว เช่น ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์และชิ้นส่วนยานยนต์ อาจได้รับผลกระทบน้อยกว่า

แต่การเพิ่มการติดตามการส่งออกอ้อม ทำให้สินค้าที่มีสัดส่วนชิ้นส่วนจากจีนหรือประเทศที่สามสูง ต้องพิสูจน์ความถูกต้องของ “Made in Thailand” นอกจากนี้ ธุรกิจที่มุ่งตลาดในประเทศที่แข่งขันกับสินค้าสหรัฐฯ ต้องเตรียมรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมการแข่งขัน

รัฐบาลเตรียมมาตรการช่วยเหลือบริษัทที่ได้รับผลกระทบ ด้วยการจัดสรรงบประมาณ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เงินอุดหนุน และมาตรการภาษีที่เอื้อประโยชน์ แต่สิ่งสำคัญกว่าคือ การใช้แรงกดดันจากภายนอกนี้เป็นโอกาสในการพัฒนาสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงและนวัตกรรม เพื่อเปลี่ยนไปสู่โครงสร้างธุรกิจที่ไม่พึ่งพาการแข่งขันด้านราคา

เศรษฐกิจไทยยืนอยู่ณ จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ คำถามคือ เราจะเปลี่ยน “ตัวเร่งที่ไม่พอใจ” นี้ให้เป็นพลังการปฏิรูปสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืนและแข็งแกร่งได้หรือไม่

BKK IT News เชื่อว่า ถึงแม้การเปลี่ยนแปลงนี้จะมาจากแรงกดดันภายนอก แต่หากบริษัทไทยและรัฐบาลสามารถใช้โอกาสนี้ปรับโครงสร้างอย่างถูกต้อง จะช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันระยะยาวของประเทศได้

ลิงก์บทความอ้างอิง