ไทยเก็บ VAT และภาษีนำเข้าสินค้าทุกรายการ ~เริ่ม 1 ม.ค. 2026 ตั้งแต่ 1 บาทขึ้นไป ยุค E-Commerce ข้ามพรมแดนเปลี่ยนไป~

ไทยเก็บ VAT และภาษีนำเข้าสินค้าทุกรายการ ~เริ่ม 1 ม.ค. 2026 ตั้งแต่ 1 บาทขึ้นไป ยุค E-Commerce ข้ามพรมแดนเปลี่ยนไป~ Diplomacy Trade
Diplomacy Trade

เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2025 รัฐบาลไทยได้มีมติคณะรัฐมนตรีครั้งสำคัญทางประวัติศาสตร์ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2026 เป็นต้นไป สินค้านำเข้าทุกรายการที่มีมูลค่าตั้งแต่ 1 บาทขึ้นไปจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% และอากรขาเข้า ซึ่งเป็นการยกเลิกมาตรการยกเว้นภาษีสำหรับสินค้ามูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท หรือที่เรียกว่า “De Minimis” อย่างสมบูรณ์

สาระสำคัญของมติ ครม.

จากมติครั้งนี้ ระบบการจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจะเปลี่ยนแปลงดังนี้

เดิมสินค้านำเข้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท ได้รับการยกเว้นทั้ง VAT และอากรขาเข้า ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2024 รัฐบาลได้เริ่มจัดเก็บ VAT 7% จากสินค้านำเข้าตั้งแต่ 1 บาทขึ้นไปเป็นมาตรการชั่วคราว และตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2026 จะจัดเก็บอากรขาเข้าเพิ่มเติมจาก VAT

สำหรับอัตราอากรขาเข้านั้น หลักการคือจัดเก็บตามรหัส HS ของแต่ละสินค้า แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ส่งสัญญาณว่าอาจใช้ “อัตราภาษีแบบง่ายประมาณ 10%” ทั้งนี้ ราคาสินค้านำเข้าจากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 17%

เบื้องหลังการตัดสินใจเชิงนโยบาย

การตัดสินใจครั้งนี้มีหลายปัจจัย

ประการแรกคือการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ สินค้าราคาถูกจากจีนและประเทศอื่นๆ หลั่งไหลเข้าสู่ตลาดไทยผ่านแพลตฟอร์ม E-Commerce ข้ามพรมแดน เช่น Lazada, Shopee และ TikTok Shop สินค้าเหล่านี้ได้รับประโยชน์จากการยกเว้นภาษี ในขณะที่ผู้ประกอบการในประเทศต้องแบกรับภาระ VAT และอากรขาเข้าในการแข่งขันด้านราคา สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (FTI) ได้ร้องเรียนเรื่อง “ช่องโหว่ 1,500 บาท” มาอย่างยาวนาน

ประการที่สองคือการเพิ่มรายได้ภาครัฐ รัฐบาลคาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 3,000 ล้านบาทต่อปี อย่างไรก็ตาม อธิบดีกรมศุลกากรเน้นย้ำว่า “เป้าหมายหลักคือการปกป้องอุตสาหกรรมและความเป็นธรรมทางการค้า มากกว่ารายได้”

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ ในปี 2025 รัฐบาล Trump 2.0 ของสหรัฐอเมริกาได้เพิ่มความเข้มงวดในการเก็บภาษีนำเข้าจากจีน ทำให้เกิดความเสี่ยงจาก “การเบี่ยงเบนทางการค้า” ที่สินค้าจีนอาจหลั่งไหลไปยังประเทศที่มีกำแพงภาษีต่ำ มาตรการของไทยจึงทำหน้าที่เป็น “กำแพงป้องกัน” ตลาดในประเทศจากกระแสนี้

บทความที่เกี่ยวข้อง

ก่อนหน้ามติ ครม. ครั้งนี้ กรมศุลกากรได้ประกาศนโยบายยกเลิกระบบ De Minimis ในเดือนพฤศจิกายน 2025 รายละเอียดสามารถอ่านได้ในบทความ “ไทยเข้มงวดภาษีสินค้านำเข้า E-Commerce ~เริ่ม ม.ค. 2026 เก็บภาษีตั้งแต่ 1 บาท ปกป้อง SME~

ผลกระทบต่อโลจิสติกส์และแพลตฟอร์ม

การเปลี่ยนแปลงระบบนี้สร้างภาระหนักให้กับอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ DHL, FedEx, Kerry Express และไปรษณีย์ไทย จะต้องดำเนินการยื่นแบบภาษีและจัดเก็บภาษีสำหรับพัสดุขนาดเล็กหลายล้านชิ้นที่เดิมไม่ต้องผ่านพิธีการศุลกากร

รัฐบาลเรียกร้องให้แพลตฟอร์มรายใหญ่อย่าง Shopee และ Lazada นำระบบ “DDP (Delivered Duty Paid)” มาใช้ ซึ่งจะจัดเก็บ VAT และอากรขาเข้าโดยอัตโนมัติเมื่อชำระเงินค่าสินค้า หากทำได้ ผู้บริโภคจะจ่ายราคารวมภาษีตั้งแต่ตอน checkout และลดปัญหาในการจัดส่ง แต่หากยังไม่มีระบบ DDP ผู้รับจะต้องจ่ายภาษีเมื่อรับสินค้า ซึ่งอาจทำให้เกิดการปฏิเสธรับของหรือความล่าช้าในการจัดส่ง

ผลกระทบต่อผู้บริโภค

ผู้บริโภคจะต้องรับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นโดยตรง ราคาสินค้าจากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 17% และอาจมีค่าธรรมเนียมพิธีการศุลกากรเพิ่มเติม นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุค “E-Commerce ข้ามพรมแดนราคาถูก”

อย่างไรก็ตาม BKK IT News มองว่านโยบายนี้อาจช่วยฟื้นฟูความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมในประเทศ เมื่อส่วนต่างราคาระหว่างสินค้าในประเทศกับสินค้านำเข้าลดลง ผู้บริโภคก็จะมีเหตุผลมากขึ้นในการเลือกซื้อสินค้าในประเทศ

แนวโน้มในอนาคต

เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2026 กรมศุลกากรกำลังพัฒนาการเชื่อมต่อข้อมูล (API) กับผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม โดยจะเชื่อมโยงข้อมูลการขายกับข้อมูลพิธีการศุลกากรเพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีและการสำแดงราคาต่ำกว่าความเป็นจริง

สำหรับผู้ประกอบการ มีทางเลือกในการทบทวนห่วงโซ่อุปทานหรือพิจารณากลยุทธ์ Fulfillment ที่มีคลังสินค้าในประเทศไทย ผู้ประกอบการที่พึ่งพา E-Commerce ข้ามพรมแดนควรทบทวนกลยุทธ์ธุรกิจในช่วงเวลานี้

ลิงก์บทความอ้างอิง